1 ก.ย. 2563

เลนส์เก่า เล่าใหม่ #0 Minolta Rokkor PF MC 58mm 1.4

 สวัสดีครับ เนื่องจากว่าผมเองก็เสพความรู้ดีๆจากห้องมือหมุนใน PANTIP มามากพอสมควร ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนจากผู้รับอย่างเดียว เป็นผู้ให้บ้าง ไว้มีโอกาสจะมาบอกเล่าเลนส์มือหมุนเก่าๆให้ได้อ่าน เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนที่ต้องการหาข้อมูลรุ่นต่อๆไปครับ หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้นะครับ


วันนี้ผมจะมาพูดถึงเลนส์มือหมุนแบรน Minolta ครับ ตัวนี้คือ Minolta Rokkor PF MC 58mm 1.4 นั่นเองครับ ซึ่งระยะ 50-60mm คนจะนิยมใช้กันมากและมีราคาที่สูงพอสมควร อาจจะเป็นได้ระยะมันก่ำๆกึ่งๆ ระหว่าง Normal - Tele ตอนต้น และที่สำคัญมักจะมีเลนส์กล้องที่มีเอกลักษณ์เด่นๆในช่วงระยะนี่มากพอสมควร จึงอาจจะเป็นสาเหตุให้กระเป๋าแบนกันเป็นแถวก็ว่าได้ ก่อนที่เราจะมาเข้าเรื่องรีวิวจริงๆจังๆ ผมขอเล่าเรื่องของ Minolta จากที่เท่าที่ผมทราบมาให้หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ


Minolta เป็นแบรนกล้องฟิลม์ซึงเรียกได้ว่าเป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์กล้องฟิลม์เลยก็ว่าได้ มีกล้อง เลนส์ เทคโนโลยีดีๆมากมายที่ Minolta ได้สร้างไว้ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจถึงความเป็นไปในแต่ละยุคแต่ละช่วงของเขา Timeline ช่วงเวลา ปี ค.ศ. ดังนี้


ประวัติ Minolta ครับขออนุญาตคัดลอกโดยไม่ได้บอกกล่าวกับเจ้าของบทความนะครับ


1929 หรือกว่า 77 ปีมาแล้วเป็นปีแห่งการถือกำเนิดของบริษัทที่ถือเป็นรากฐานของผู้ผลิตกล้องที่แข็งแกร่ง 1 ใน 5 ของญี่ปุ่นในปัจจุบัน แต่ในตอนแรกนั้นบริษัทยังไม่ได้ใช้ชื่อมินอลต้านะครับ แต่ใช้ชื่อว่า Nichi-Doku Shashinki Shoten อันมีความหมายว่า Japan-Germany Camera Company (คิดการไกลตั้งแต่เปิดบริษัทเลยนะ อิ อิ อิ) และผู้ที่เปรียบเสมือนเป็นบิดาของบริษัทนี้ก็คือ Kazuo Tashima และกล้องรุ่นแรกของบริษัทที่ผลิตออกมาก็คือ Nifcalette


1931 มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Molta Goshi Kaisha


1937 เปลี่ยนชื่อบริษัทอีกครั้งเป็น Chiyoda Kogaku Seiko ปีนี้เป็นปีแรกที่เริ่มมีการผลิตเลนส์ในโรงงานของบริษัท และเป็นปีแรกเช่นกันที่มีการวางตลาด Minolta Flex กล้อง TLR รุ่นแรกของญี่ปุ่น


1958 กล้อง SLR รุ่นแรกของบริษัทถือกำเนิดขึ้นมาในชื่อรุ่นว่า Minolta SR-2


1962 ปีที่ John Glenn ขึ้นไปรอบวงโคจรของโลกเป็นครั้งแรกกับยาน Friendship 7 และกล้องที่ Glenn ใช้ถ่ายรูปมีชื่อว่า 'Right Stuff' ซึ่งก็คือกล้อง Minolta Hi-Matic ที่ได้รับการโมดิฟายพิเศษเพื่อภาระกิจในครั้งนี้ และตอนนี้กล้องตัวนี้ได้จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ National Mesuem of History - Aero Space ของอเมริกา


และในเดือนกรกฎาคมปี 1962 บริษัทได้ทำการเปลี่ยนชื่อเป็น Minolta Camera Co., Ltd. อย่างเป็นทางการ คำว่า Minolta (อ่านว่า Min-o-ROO-ta) มีความหมายว่า "ripening rice fields" อันเป็นทุ่งข้าวเหลืองทองสุกอร่ามที่อยู่ติดกับโรงงานดั้งเดิมในโอซาก้านั่นเอง แต่ข้อมูลบางแห่งก็บอกว่า Minolta ย่อมาจาก Mechanisms INstrument Optic and Lenses by TAshima แต่ผมเข้าใจว่าความหมายอันแรกน่าจะถูกต้องมากกว่า


1966 ออกกล้อง Minolta SR-T101 กล้อง SLR รุ่นแรกของบริษัทที่มีระบบวัดแสงผ่านเลนส์ through-the-lens (TTL) light metering


1972 มีการเซ็นสัญญาร่วมมือกันทางเทคโนโลยีกับ Ernst Leitz Wetzlar บริษัทผู้ผลิตกล้องไลก้า


1973 Minolta CL อันเป็นกล้องเรจน์ไฟน์เดอร์ที่เป็นผลผลิตจากการร่วมมือกับไลก้าได้ถือกำเนิดขึ้น


1976 ไลก้าและมินอลต้าร่วมมือกันผลิตกล้อง Leica R3 และมินอลต้าได้เป็นผู้ผลิตกล้องไลก้าในรุ่น R3, R4 และ R5


1981 ผลงานคลาสสิคจากมินอลต้า Minolta CLE ได้ถือกำเนิดขึ้นจากมันสมองของมินอลต้าเองล้วนๆ มันจึงเป็นกล้อง Leica M compatible ที่ทันสมัยที่สุดในโลกด้วยระบบถ่ายภาพแบบ AE ที่ลิงค์กับระบบวัดแสง มานานกว่า 20 ปี จนกระทั่งมี Leica M7


1981 เปิดตัวกล้อง Minolta X-700 แมนวล SLR ที่ขายดีที่สุดของบริษัท


1985 เปิดตัวกล้องออโตโฟกัสรุ่นแรกของโลก Minolta alpha-7000


1988 เปิดตัวกล้องรุ่นแรกของตระกูล i นั่นก็คือ Minolta Alpha-7000i กล้องรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมระบบ intelligent card system


1992 เปิดตัว Dynax 9xi กล้อง AF SLR รุ่นแรกของโลกที่มีความเร็วชัตเตอร์สูงที่สุดในโลก คือ 1/12000 วินาที


1994 เปลี่ยนชื่อบริษัทอีกครั้งเป็น Minolta Co., Ltd. จากการขยาย line ผลิตภัณฑ์ออกไปมากกว่าเป็นผู้ผลิตกล้องแต่เพียงอย่างเดียว


1995 เปิดตัวกล้อง DSLR รุ่นแรกของบริษัท Minolta RD-175 ที่มีความละเอียด 1.75 ล้านพิกเซล ที่พัฒนาจาก Dynax 500Si มันจึงใช้เลนส์ออโตโฟกัสของมินอลต้าเมาท์ A ได้ทุกรุ่น หรืออาจะกล่าวง่ายๆ ได้ว่า RD175 ก็คือกล้องรุ่นปู่ตัวจริงของ Dynax 7D


1996 เปิดตัวกล้องในตระกูล VECTIS ในระบบถ่ายภาพ APS ที่กลายมาเป็นตัวฉุดรายได้และกำไรของบริษัทอย่างมหาศาล


1998 เปิดตัวกล้องฟิล์มโปรรุ่นสุดท้าย Dynax 9


2000 เปิดตัวกล้องฟิล์มที่กลายมาเป็นฐานให้กับ 7D นั่นก็คือ Dynax 7 ที่ไปกวาดรางวัลจากสถาบันต่างๆ มามากมาย


2001 เปิดตัวกล้องโปรซูเมอร์ 5 ล้านพิกเซลรุ่นแรกของโลก DiMAGE 7 ที่กลายมาเป็นพื้นฐานให้กล้องในตระกูล A ในปัจจุบัน


ตุลาคม 2003 ประกาศรวมกิจการกับโคนิก้า และกลายมาเป็น Konica Minolta ที่เรารู้จักกันอยู่ในปัจจุบัน


หลังจากนั้นผมคงไม่ต้องเล่าต่อแล้วนะครับ เพราะส่วนใหญ่เราๆ ท่านๆ ที่เป็นแฟนหมีก็รู้กันดีอยู่แล้ว ทั้งเรื่องการเปิดตัว D7D/D5D และการประการร่วมมือกับโซนี่ ในการพัฒนากล้อง DSLR ที่มีกำหนดเปิดตัวประมาณกลางปีหน้า


เอาเป็นสรุปว่าผู้ผลิตรายนี้ยืนยงอยู่ในวงการมากว่า 70 ปี และมีแฟนประจำที่เหนียวแน่นอยู่ทั่วโลกที่ถึงแม้จะไม่เท่ากับค่ายใหญ่อย่างนิกรหรือหนอน แต่ก็ไม่ใช่กลุ่มเล็กๆ อย่างแน่นอน กล้องของหมีมักจะรู้จักกันดีในฐานะกล้องที่มีการใส่นวตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นระบบ expert card system, eye-start, wireless flash, navigation display, DMF, ADI มาจนล่าสุดก็คือระบบ Anti-Shake และเป็นที่รู้กันดีว่ากล้องหมีจะเป็นกล้องที่มีการใส่ฟังก์ชั่นมาให้เต็มที่ ไม่มีการกั๊ก ในราคาที่เท่ากัน กล้องหมีจะคุ้มค่ามากกว่า ดูอย่าง Dynax 5D เป็นตัวอย่างล่าสุดก็ได้


2006 ปิดฉาก 77 ปี Minolta 1 ใน 5 เสือ กล้องจากญี่ปุ่น


Minolta จัดเป็น 1 ใน 5 ของ Top Five ห้า บริษัทกล้องฟิลม์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆคือกล้องที่ทั่วโลกยอมรับในเรื่องของคุณภาพ ซึ่ง Top Five ในอดีตคือ


1.Olympus OM-4 and OM-4 Ti


2.Nikon F3 (F3HP, F3T, etc.)


3.Canon F-1 / F-1N

4.Pentax LX

5.Minolta XK (XM, X1)


อ่านประวัติกันไปมากพอสมควรแล้ว เรามาเริ่มการรีวิวกันเลยครับ มาดูหน้าตาเลนส์กันก่อนครับ หน้าเลนส์มีระยะ 55mm

ตัวเลขบอกระยะจะมีบอกทั้งสองระยะ ทั้ง เมตรและฟุต


ระยะเข้าใกล้แบบ เข้าใกล้ได้มากสุดที่ 2 ฟุต หรือ 0.6 เมตร

ตัวนี้ที่ผมได้มาจะมีรอยที่ชิ้นเลนส์ด้านหลัง เดาว่าน่าจะเกิดจากการถอดเลนส์ออกจากกล้องที่ไม่ระมัดระวังเท่าไหร่ รอยนี้ไม่มีผลใดๆกับภาพถ่าย

ท้ายเป็น Mount แบบ MD เป็น Mount เฉพาะของ Minolta

ค่ารูรับแสงหากเปิดกว้างสุดโบเก้ก็จะกลม หากหรี่ลงมาก็จะเป็นหกเหลี่ยมแบบมนๆ

มาดูภาพตัวอย่างจากเลนส์ตัวนี้ครับ *ผมถ่ายด้วยกล้อง Olympus OMD EM1 และ Panasonic GX7 ซึ่งเป็นเซนเซอร์ m4/3 ภาพจากเลนส์ตัวเดียวกันนี้หากถ่ายด้วยกล้องที่เซนเซอร์ต่างขนาดกันไปเช่น APSC หรือ FullFrame อาจจะได้ลักษณะโบเก้ที่ไม่เหมือนกันซะทีเดียวครับ เรียกว่าต่างเซนเซอร์โบเก้ไม่เหมือนกัน แต่โทนของภาพจะเคียงกันครับ*

ลองถ่ายภาพบุคคลดูบ้าง

เลนส์ตัวนี้ถ่ายขาวดำได้ดี

คลิบบ่นๆ



เอกลักษณ์เท่าที่พบ

- หวานจ๋อย ให้โทนภาพออกหวานๆ F แรก 1.4 จะฟุ้งมาก พอหรี่มาสักประมาณ F2 จะเริ่มคมขึ้น [จริงๆเลนส์ตัวนี้ฟุ้งทุกF]

- ถ่ายขาวดำได้สวย

- โบเก้กว้างสุดจะกลม หรี่มาเป็นหกเหลี่ยมมนๆ

- ให้ Skin Tone เวลาถ่ายภาพบุคคลดีมากๆ

- ถ่ายย้อนแสงได้ดี Flare ไม่น่าเกลียด เพราะเคลือบ MC มา [MultiCoat]


สรุปแล้วเลนส์ Minolta Rokkor PF MC 58mm 1.4 ตัวนี้ค่อนข้างครบเครื่องสำหรับคนชอบสีหวานๆและ Skintone เวลาถ่ายสาวหรือถ่ายภาพบุคคลนี่บอกได้เลยว่าไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน จะหวานคนละแบบกับ Mamiya Sekor 55mm 1.4 นั่นก็หวานเช่นกัน แต่จากที่ผมได้ลองทั้งสองตัวผมว่ากินกันไม่ลงต้องลองดูรีวิวที่ผมทำไว้หรือไม่ก็หามาลองด้วยตัวเองจะพอเข้าใจได้ครับ


หวังว่าข้อมูลส่วนนี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้กำลังสนใจเลนส์ตัวนี้ หากคุณกำลังจะหาซื้อหาข้อมูลมาลองใช้งาน ก็เอาข้อมูลส่วนนี้ของผมไปประกอบการตัดสินใจได้ครับ ลากันไปเท่านี้ครับ สวัสดีครับ


**ข้อมูลประวัติศาสตร์บางส่วนเกิดจากการรวบรวมข้อมูลเท่าที่หาได้ของผมเอง หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ**


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น